image

การดูแลเด็กทารกตามแนวทางของการแพทย์แผนจีน

ซุนซือเหมี่ยว แพทย์แผนจีนสมัยราชวงศ์ถัง ได้เขียนตำรา 《เชียนจินเย่าฟาง》เพื่อสื่อออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า “จะต้องดูแลเอาใจใส่เด็ก เพื่อที่เขาจะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีและมีคุณภาพ”

การดูแลเด็กทารกตามแนวทางของการแพทย์แผนจีน


ซุนซือเหมี่ยว แพทย์แผนจีนสมัยราชวงศ์ถัง ได้เขียนตำรา เชียนจินเย่าฟางกล่าวไว้ว่า : “แนวทางการดำรงชีวิตของผู้คน, มิมีเลยที่จะไม่เลี้ยงดูแล้วเติบใหญ่, หากไม่ดูแลแต่ยังเล็ก, จักสิ้นชีวิตก่อนเติบโต” (“夫民生之道,莫不养小为大,若无于小,卒不成大”)

สามารถสื่อออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า “จะต้องดูแลเอาใจใส่เด็ก เพื่อที่เขาจะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีและมีคุณภาพ”

                แพทย์ยุคโบราณให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลทารกและเด็กเล็ก และบางวิธีการก็ยังคงนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการดูแลทารกไปจนถึงเด็กเล็ก กล่าวโดยสรุปได้ 4 ด้าน ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และการขยับร่างกาย ดังนี้

 

01 เครื่องนุ่งห่ม

 

“สวมใส่ให้เหมาะสมกับฤดูกาล, ปรับไปตามความหนาวเย็นและความร้อน”

            จูปิ้งหยวนโฮ่วลุ่น: “เมื่อเด็กเกิดมา, ผิวและเนื้อยังไม่เติบโต, ไม่อาจให้สวมใส่จนอุ่น, เสื้อผ้าที่อบอุ่นจะทำให้เอ็นและกระดูกอ่อนแอ” (小儿始生,肌肤未成,不可暖衣,暖衣则令筋骨缓弱)

ความหมายคือ เด็กที่สวมเสื้อผ้าหนามากเกินจะไปปิดการระบายของรูขุมขน ทำให้เปี่ยว*()พร่องลง ทำให้ได้รับความเสียหายจากลมปราณก่อโรคชนิดลม ( เฟิง) ได้ง่าย** แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากสวมเสื้อผ้าน้อยเกินไป จะกลายเป็นว่าไม่เพียงพอต่อการต้านลมปราณก่อโรคชนิดลม ( เฟิง) และความเย็น( หาน) ทำให้ป่วยได้เช่นกัน

ทุกท่านเห็นหรือไม่ว่า ไม่ใช่ว่าในหน้าหนาว การห่อหุ้มตัวเด็กจนหนาเตอะในสภาพอากาศที่เย็นจะป้องกันโรคได้ หรือกระทั่งสวมใส่น้อยชิ้นจนเกินไปในหน้าหนาวจะเป็นเรื่องที่ดีต่อภูมิคุ้มกัน*** ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้ดูแลความอบอุ่นของร่างกายให้มีความรู้สึกเหมือนอุณภูมิของฤดูใบไม้ผลิ

จากคุณลักษณะอินและหยางของอวัยวะภายใน, ท้องและหลัง, หัวและเท้าแล้ว เหล่าซือ (ผู้เขียนบทความจาก 三才苍生) ได้ยกย่องหลักการ “สามอุ่นหนึ่งเย็น” คือ

1. หลังต้องอุ่น : หลังเป็นที่ที่มีเส้นลมปราณเท้าไท่หยางกระเพาะปัสสาวะ (足太阳膀胱经) ไหลเวียนอยู่ ซึ่งเส้นลมปราณนี้สามารถถูกลมปราณก่อโรคชนิดลมและความเย็นทำร้ายได้ง่าย จึงต้องรักษาความอบอุ่นเอาไว้

2. ท้องต้องอุ่น : หากท้องได้รับความเย็น จะส่งผลต่อระบบการย่อย การเผาผลาญและดูดซึมสารอาหาร ไปจนถึงการเจริญเติบโตของเด็กให้บกพร่องลง

3. เข่าและเท้าต้องอุ่น : Wลมปราณก่อโรคชนิดเย็นมักจะเกิดมาจากเท้าได้ง่าย” หมายความว่า หากความเย็นเข้ามาที่เท้า มันจะถูกเส้นลมปราณที่เท้านำพาขึ้นมายังทั้งร่างกายด้านบน จนเกิดโรคจากลมปราณก่อโรคชนิดความเย็นได้

4. ศีรษะต้องเย็น : กลับกันจากข้ออื่น ๆ ศีรษะเป็นศูนย์รวมของหยางทั้งหมด อีกอย่างคือ สมองเปรียบได้ดั่งทะเลของไขสันหลัง หากมีความร้อนขึ้นมา จะทำให้ลมปราณก่อโรคชนิดไฟ ( หั่ว) ภายในลุกขึ้นรุนแรงจนทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นมาได้

                ในตอนที่เหล่าซือตรวจวินิจฉัยและรักษาเด็ก จะให้ผู้ปกครองดูความเหมาะสมของเสื้อผ้าเด็ก โดยใช้ความอุ่นของมือและเท้าเด็กเป็นเกณฑ์จากการสัมผัสที่มือและเท้าของเด็กในอุณภูมิห้อง ว่าควรใส่เท่าไหร่อุณหภูมิที่มือและเท้าของเด็กจะอบอุ่นพอดี

 

* ภายนอก ในที่นี่มีความหมายคือลมปราณภูมิคุ้มกันที่อยู่บริเวณรอบนอก เพื่อป้องกันไม่ให้ลมปราณก่อโรคเข้าสู่ร่างกาย)

**เป็นหวัดได้ง่าย

***อ้างอิงจากแนวคิดของเนอสเซอรี่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านการฝึกวินัยและความอดทนในประเทศญี่ปุ่น ในทุก ๆ เช้าจะให้เด็ก ๆ วิ่งออกกำลังกายโต้ลมหนาว และถอดเสื้อออกแล้วยืนออกกำลังกายจนขาสั่นตัวสั่นในสนาม ภายใต้อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส


02  อาหาร


คนโบราณมีคำกล่าวว่า ทารกจะต้องทานนมทันทีภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด( [立即] แปลว่า โดยทันที)

อวี้อิงเจียมี่: “น้ำนมคือเลือดที่เปลี่ยนแปลงมา, หอมหวานดังน้ำเชื่อม*” (乳为血化,美如饧)

มองจากมุมมองในปัจจุบัน นมแม่มีสารอาหารหลากหลายที่มีปริมาณพอดิบพอดี ให้พลังงานสูง และยังมีสารภูมิต้านทาน (Immunoglobulin) เป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก


*美如饧 หอมหวานดังน้ำเชื่อม เนื่องจากภาษาจีน  โดยทั่วไปจะแปลว่าสิ่งที่เกี่ยวกับความงาม แต่ในที่นี้อ้างอิงมาจากคำว่า 美味 หมายถึงรสที่อร่อย ราวกับ คือน้ำตาลกึ่งแข็งกึ่งเหลวชนิดหนึ่ง


เวลาที่ให้นม จะต้องมีคำนึงถึงปริมาณและอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายม้ามและกระเพาะอาหาร (ระบบย่อยอาหาร) ของเด็ก ทำให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ตามมา

โย่วโย่วจี๋เฉิง: “ท่านต้องยึดม้ามและกระเพาะเป็นหลัก, จึงต้องควบคุมตอนให้นม, ควบคุมแล้วจะปรับสมดุลเลี้ยงดูม้ามกระเพาะ, หากให้นมมากหรือน้อยไปจักทำร้ายม้ามและกระเพาะ, หน้าร้อนงดให้นมร้อน*, หน้าหนาวให้งดนมเย็น*, ให้บีบน้ำนมออกก่อนเล็กน้อยแล้วค่อยให้นม, อย่าให้นมหลังจากเด็กกินข้าวแล้ว, และอย่าให้เด็กกินข้าวหลังดื่มนม, ม้ามและกระเพาะเด็กยังไม่แข็งแรง, ทานนมและข้าวพร้อมกันแล้ว, ย่อยได้ยาก, แรก ๆ จะจี ( สะสม ทับถม), นาน ๆ ไปจะกาน ( โรคซาง)**,  ทั้งหลายคือการให้นมอย่างไม่ระมัดระวัง”

เชียนจินเย่าฟาง: “หน้าร้อนไม่ขับนมร้อน, เด็กจะอาเจียนออก, หน้าหนาวไม่จับนมเย็น, เด็กจะไอและท้องเสีย( โรคบิด)” คือการเน้นพิเศษว่าก่อนให้นมแม่ทุกครั้ง จะต้องบีบเอาน้ำนมแรกของเต้าที่สะสมอยู่*** ออกก่อน และถูหัวนมเบา ๆ เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำนมมีความเหมาะสม เพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้ของเด็ก


*ดูคำอธิบายจาก เชียนจินเย่าฟาง

** 疳积 กานจี หรือภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “กำเจ็ก” เป็นโรคผิดปกติเกี่ยวกับระบบย่อยในเด็ก เด็กจะร่างกายอ่อนแอ ตัวผอมตัวเหลือง ไม่อยากอาหาร ภาษาไทยเราเรียกว่า โรคซาง โรคตานขโมย

**หมายถึงน้ำนมแรกก่อนที่จะให้นมทุกครั้ง ไม่ได้หมายถึง “น้ำนมเหลือง” หรือ Colostrums ซึ่งเป็นน้ำนมแม่ในช่วงแรกหลังคลอด ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็ก


ในส่วนของวิธีการให้นมแม่

เจิ้งจื้อจุ่นเสิง: “หากทารกร้องไห้ยังไม่หยุด, หายใจไม่สม่ำเสมอ, มารดาไม่ควรให้นมบุตร, น้ำนมจะลงล่างไม่ได้, ไปหยุดที่กระบังลม, ทำให้ทารกอาเจียน”

เชียนจินเย่าฟาง: “มารดาที่ให้นมควรวางแขนไว้บนหมอน, ให้เต้านมอยู่ระดับเดียวกับศีรษะเด็ก, แล้วให้นม, ทารกจะไม่สำลัก”


การเปลี่ยนจากให้นมแม่มาเป็นให้ทานอาหาร

เชียนจินเย่าฟาง: “ให้อาหารอ่อนเด็กเร็วเกินไป, เด็กไม่ชนะลมปราณสารอาหาร*, จักเป็นโรค, ศีรษะใบหน้าและลำตัวมักเป็นแผล, หายแล้วจะกลับมากำเริบอีก, เด็กจะอ่อนแอเลี้ยงลำบาก”

เหยียนซื่อเสี่ยวเอ๋อร์ฟางลุ่น: “หลังจากอายุครึ่งขวบ, นำข้าวเก่าต้มเป็นโจ๊กใส ๆ บาง ๆ ได้, ให้เด็กทานเป็นครั้งคราว, หลังจากสิบเดือน, ค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นของข้าวโดยต้มให้เละเพื่อช่วยลมปราณส่วนกลาง**(中气), จะเลี้ยงได้ง่ายและป่วยน้อยโดยธรรมชาติ”

            หมายความว่า ถ้าเราให้เด็กทานอาหารอ่อนเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป จะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กทั้งนั้น แนะนำให้ค่อย ๆ ให้ฝึกทานอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม ผักบด เพิ่มด้วยทีละน้อยหลัง 4-6 เดือน*** เพราะเมื่ออายุครึ่งปีขึ้นไป เด็กจะต้องเริ่มฝึกย่อยและรับสารอาหารเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นนอกจากน้ำนมแม่ เมื่อครบหนึ่งขวบจึงสามารถค่อย ๆ หย่านมได้


*หมายถึง ย่อยไม่ได้

**ลมปราณส่วนกลาง (中气) คือลมปราณของระบบย่อยอาหาร ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำงานของม้ามและกระเพาะในทางแพทย์แผนจีน คือการย่อยและดูดซึมสารอาหาร มีความหมายว่าจะต้องต้มโจ๊กให้เละ เพื่อช่วยให้เด็กย่อยได้ง่าย

***บทความต้นฉบับคือ 4 เดือน แต่ทางผู้แปลแนะนำว่า สำหรับเด็กไทย ให้เริ่มทานราว ๆ หลัง 6 เดือนเป็นต้นไปจะเหมาะสมมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับสภาพของเด็กแต่ละคน ซึ่งสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้ว่าควรให้เริ่มทานตั้งแต่ตอนไหน


            ในช่วง 4-6 เดือน เด็กยังจะต้องทานนมแม่เป็นอาหารหลักอยู่ ซึ่งสามารถเพิ่มอาหารจำพวก ผักผลไม้บด ปลาบด เนื้อหมูบดละเอียด เต้าหู้ มะเขือเทศบด

            ช่วง 7-9 เดือน ควรทานทั้งนมแม่และอาหารอ่อนควบคู่กันไป สามารถเพิ่มอาหารจำพวก ตับบด ผักสับ เนื้อหมูสับ เนื้อปลา โจ๊ก

            ช่วง 10-12 เดือน ควรทานอาหารอ่อนเป็นหลัก โดยมีการให้นมแม่ร่วมด้วย สามารถเพิ่มอาหารจำพวก ไข่ ผัก ข้าวต้ม อาหารที่ทำมาจากถั่ว


ในส่วนของโจ๊ก เหล่าซือ (ผู้เขียนจาก 三才苍生) แนะนำว่าไม่ควรให้เด็กทานแต่โจ๊กขาว (โจ๊กที่มีแต่ข้าวเป็นส่วนประกอบ) เพราะมีฤทธิ์เย็น มีแต่อินไม่มีหยาง ซึ่งเราสามารถปรับสมดุลให้มีครบทั้ง “หนึ่งอินหนึ่งหยาง” (มีครบทั้งอินหยาง) ได้ด้วยการใส่ขิงซอยและเนื้อหมูไม่ติดมันลงไป

                นอกจากนี้ เรายังสามารถใส่ลูกเดือยเพื่อบำรุงม้ามและธาตุดินของเด็กได้ เพราะในทางแพทย์แผนจีนมองว่า สรรพสิ่งเกิดมาจากดิน ดังนั้น การบำรุงธาตุดินในร่างกาย จะช่วยบำรุงให้ลูกน้อยเติบโตมาได้อย่างดีและสมบูรณ์

                ซึ่งการต้ม ให้เคี่ยวในหม้อประมาณหนึ่งชั่วโมงจนเละละเอียด เพราะจะทำให้ดูดซึมสารอาหารได้ง่าย


                หลังจากวัยหย่านม อวี้อิงเจียมี่: “เพื่อให้กินได้ดี, ต้องควบคุมให้เด็ก, จะตามใจเขาไม่ได้, เด็กมีความสุข, แต่โรคภัยจะรุมเร้า”

                เด็กที่ทานอาหารตามใจตนเองโดยไม่ถูกควบคุม จะเป็นการทำร้ายม้ามและกระเพาะ (หมายถึงทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารไม่ดี และยังส่งผลไปจนถึงการดูดซึมสารอาหารและการเจริญเติบโตอีกด้วย) ดังสุภาษิตที่ว่า “ใคร่จะให้บุตรแข็งแรง, ต้องให้หิวและหนาวอยู่สามส่วน”* อาหารจะต้องอ่อนและจืด ย่อยง่าย งดอาหารที่มีรสจัดจ้าน เปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด ไปจนถึงอาหารที่มีกลิ่นแรง กลิ่นคาว และอาหารดิบ

หัวโย่วจิงเย่า: “กินหวานแล้วกาน**(), กินอิ่มจุกทำร้ายลมปราณ, กินเย็นจะจี**(), กินเปรี้ยวทำร้ายอารมณ์, กินขมทำร้ายเสิน( เสิน จิตใจ สติสัมปชัญญะ), กินเค็มลมปราณจะอุดตัน, กินอาหารมันจะมีเสมหะ, กินเผ็ดทำร้ายปอด”

                การให้เด็กทานอาหารที่ไม่เหมาะสม จะทำให้เสียสุขภาพจนเกิดเป็นโรคขึ้นมา ในทางแพทย์จีนจะเรียกว่า “โรคเข้ามาทางปาก”


* “หิวสามส่วน” หมายถึง ไม่ควรปล่อยปละละเลยการกินของเด็กจนกินตะกละหรือมากจนเกินไป “หนาวสามส่วน” หมายถึง ควรแต่งกายอย่างพอดีให้ร่างกายเด็กระบายความร้อนออกมาได้ ไม่มิดชิดอึดอัดมากจนเกินไปดังที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้

** กานจี (疳积) โรคซางหรือตาลขโมย [สามารถย้อนอ่านละเอียดได้ที่ย่อหน้าที่สอง]


03 ที่อยู่อาศัย


“แสงแดงเพียงพอ, อากาศปลอดโปร่ง”

ห้องของลูกน้อยควรจะมีแสงแดดส่องถึง อากาศภายในปลอดโปร่งมีการระบายที่ดี และควรให้เด็กเคยชินกับการนอนเปิดหน้าต่าง* แต่ควรหลีกเลี่ยงลมที่เป่ามาที่เด็กโดยตรง เพื่อไม่ให้เด็กได้รับลมปราณก่อโรคที่ตามลมเข้ามา**


*การเปิดหน้าต่างนอนมีความสำคัญคือ เมื่อเด็กหายใจ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะออกมาสะสมอยู่ในห้อง การเปิดหน้าต่างจะเป็นการถ่ายเทอากาศให้ก๊าซ์คาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ออกไป และนำออกซิเจนเข้ามาแทนที่ รวมถึงแบคทีเรีย ฝุ่น และสารพิษอื่น ๆ ที่จะสะสมอยู่ด้วยเช่นกัน

**ในทางแพทย์แผนจีนมีคำกล่าวที่ว่า “ลมปราณก่อโรคชนิดลม เป็นบ่อเกิดของร้อยโรค” (风为百病之长) คือลมมักจะนำพาเอาสิ่งที่ทำให้เกิดโรคพัดมาด้วย และตัวของมันเองก็ก่อโรคขึ้นมาได้เช่นกัน


04 การออกกำลังกาย


“ให้เด็กยืดเส้นยืดสาย, ทำให้สุขภาพแข็งแรง” (体质 คือ ลักษณะเฉพาะทางสุขภาพของร่างกาย)

การแพทย์แผนจีนตั้งแต่สมัยโบราณ สนับสนุนให้มีการออกกำลังกายของเด็กตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ให้มีการอาบแดดอ่อน ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อสภาวะแวดล้อมภายนอกของลูกน้อย

จูปิ้งเอวี๋ยนโหวลุ่น: “เจอลมและแดดให้ถูกยาม, หากไม่เจอทั้งลมและแดด, จักทำให้ผิวและเนื้ออ่อนแอ, แล้วบาดเจ็บได้ง่าย, ทุกวันยามแดดอ่อนอบอุ่นไม่มีลม, ให้มารดาอุ้มและเล่นกับเด็กท่ามกลางแสงแดด, เมื่อพบลมและแดดบ่อยวันเข้า, เลือดรวมตัวและลมปราณแกร่ง, กล้ามเนื้อยิ่งแข็งแรง, ทนทานลมและความหนาว, ไม่เป็นโรค”

                ช่วงเวลาในการพาเด็กไปออกกำลังกายคือช่วงยามเฉิน (辰时 คือเวลา 07:00-09:00 โดยมาตรฐาน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อยตามแต่ละท้องที่) เนื่องจากในยามนี้ แสงแดดเป็นเส้าหยาง (少阳) เป็นเส้าหั่ว (少火 ไฟเล็ก) คือช่วงที่คุณภาพของแสงอาทิตย์มีความอุ่นบำรุง (温补) มากที่สุด

                หวงตี้เน่ยจิง: “จ้วงหั่ว*(壮火)กินลมปราณ, ลมปราณกินเส้าหั่ว*(少火), จ้วงหั่วกระจายลมปราณ, เส้าหั่วกำเนิดลมปราณ” (壮火食气,气食少火,壮火散气,少火生气)

มีความหมายว่า ลมปราณหยางที่มีมากจนเกินไปจะทำให้ลมปราณหยวน**(元气)ของเราลดลงและอ่อนแอ รวมถึงกระจายลมปราณที่สะสมอยู่ออก ส่วนลมปราณหยางที่เป็นปรกติจะทำให้ลมปราณหยวนของเรามีความแข็งแกร่งขึ้น และก่อกำเนิดลมปราณหยวนขึ้นมาได้


*จ้วงหั่ว (壮火) คือไฟทางพยาธิวิทยาที่มีความสามารถในการกระตุ้น สามารถทำลายลมปราณได้

เส้าหั่ว (少火) คือไฟทางสรีรวิทยาที่มีความเป็นปกติ มีหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงและกำเนิดลมปราณหยวนและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต

**元气 ลมปราณทุนกำเนิด คือลมปราณที่ได้รับมาจากบิดาและมารดาฝั่งละครึ่ง ได้รับการเลี้ยงดูในร่างกายจากลมปราณหลังกำเนิด (สารอาหารที่เราทานเข้าไป) และเก็บสะสมอยู่ที่ไต


credit : 三才公益