image

สีผิวหลัง"ครอบแก้ว" บอกถึงอะไร?

การครอบแก้วเป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งของแพทย์แผนจีน โดยในสมัยโบราณจะใช้เขาสัตว์หรือกระบอกไม้ไผ่ แต่ปัจจุบันวัสดุที่ใช้จะเป็นแก้วใสทรงกลม จุดไฟแล้วนำเปลวไฟเข้าไปในแก้วทรงกลมเพื่อให้เกิดสูญญากาศภายในแก้ว แล้วจึงนำมาวางครอบบริเวณต่างๆ บนร่างกาย การที่ผิวหนัง ถูกดูดด้วยแก้วที่เป็นสูญญากาศจะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้นอย่างมาก เป็นการปั๊มเลือดเข้าสู่ กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการครอบเเก้ว หลอดเลือดฝอยขยายตัวขึ้น นำมาสู่การที่เนื้อเยื่อได้รับเลือดออกซิเจน มากขึ้น สีหลังจากที่ครอบแก้วจะสามารถบอกถึงสุขภาพภายในของคุณได้

คำถามยอดฮิต : สีผิวหลัง"ครอบแก้ว" บอกถึงอะไร?



- สีแดงอมชมพู (Healthy blood circulation) สุขภาพร่างกายแข็งแรง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
- สีแดงอมม่วง (Moderate stagnation) ร่างกายมีความร้อน มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- สีม่วงคล้ำ (Severe Stagnation) มีปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง ระบบไหลเวียนโลหิตมีติดขัด
- สีซีด (Qi & Blood deficiency)  เลือดและลมปราณพร่อง ร่างรายเหนื่อยล้า
- สีม่วงมีรอยจ้ำเลือด (Toxins accumulation)  เลือดและลมปราณติดขัดเกิดเลือดคั่ง ความเย็นสะสม

การครอบแก้ว (Cupping)
     การครอบแก้วเป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งของแพทย์แผนจีน โดยในสมัยโบราณจะใช้เขาสัตว์หรือกระบอกไม้ไผ่ แต่ปัจจุบันวัสดุที่ใช้จะเป็นแก้วใสทรงกลม จุดไฟแล้วนำเปลวไฟเข้าไปในแก้วทรงกลมเพื่อให้เกิดสูญญากาศภายในแก้ว แล้วจึงนำมาวางครอบบริเวณต่างๆ บนร่างกาย

     เมื่อมองตามหลักวิทยาศาสตร์การครอบแก้วคือการใช้สูญญากาศ ครอบไปยังบริเวณผิวหนัง การที่ผิวหนัง ถูกดูดด้วยแก้วที่เป็นสูญญากาศจะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้นอย่างมาก เป็นการปั๊มเลือดเข้าสู่ กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการครอบเเก้ว หลอดเลือดฝอยขยายตัวขึ้น นำมาสู่การที่เนื้อเยื่อได้รับเลือดออกซิเจน มากขึ้น กระบวนการซ่อมแซมจึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

     อีกหนึ่งวิธีของการครอบแก้วที่นิยมใช้กันคือ การครอบแก้วพร้อมกับการเดินแก้ว ลากไปตามแนวเส้นลมปราณหรือตามกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ เป็นการยืด กล้ามเนื้อ (Muscle) และ พังผืด (Fascia) ที่ระดับผิว (Superficial) ซึ่งสามารถลดความเจ็บปวดจาก กลุ่มโรคกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี

โรคและอาการผิดปกติที่นิยมรักษาด้วยการครอบแก้ว
1. โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไซนัส 
2. โรคระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหาร
3. โรคระบบหมุนเวียนโลหิต เช่น ความดันโลหิตสูง
4. โรคระบบประสาท เช่น โรคปวดศีรษะ ความเครียด ความวิตกกังวล นอนไม่หลับ
5. โรคและปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น ฝี หนอง โรคผิวหนังอักเสบ